ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ประกาศรายชื่อผู้ที่เห็นสมควรให้จัดตั้ง Virtual Bank
- บริษัท เอซีเอ็ม โฮลดิ้ง จำกัด (ทรูมันนี่)
- ธนาคารกรุงไทย บมจ.แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส [ADVANC] บมจ.ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก [OR]
- บมจ.เอสซีบี เอกซ์ [SCB] WeTechnology Limited และ KakaoBank Corp
ทั้งนี้ การพิจารณาเป็นไปตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในประกาศกระทรวงการคลังฯ ครอบคลุมคุณสมบัติ แผนการประกอบธุรกิจ รวมถึงศักยภาพของผู้ขออนุญาตแต่ละรายในการนำเสนอบริการทางการเงินรูปแบบใหม่หรือบริการทางการเงินที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริการทางการเงินที่มีอยู่เดิมผ่านช่องทางดิจิทัล เพื่อตอบสนองความต้องการอันหลากหลายของผู้ใช้บริการทางการเงินแต่ละกลุ่ม โดยเฉพาะรายย่อย (retail) และธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่ยังไม่ได้รับบริการทางการเงินที่เพียงพอและเหมาะสมหรือที่ยังเข้าไม่ถึงบริการทางการเงิน ตลอดจนการสร้างประสบการณ์การใช้บริการทางการเงินที่ดีแก่ผู้ใช้บริการ และการนำเสนอนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่ส่งเสริมการแข่งขันอย่างเหมาะสมทั้งด้านคุณภาพและด้านราคา
นอกจากนี้ ยังคำนึงถึงจำนวนที่เหมาะสมของธนาคารพาณิชย์รายใหม่ เพื่อช่วยกระตุ้นการแข่งขันในระบบสถาบันการเงินอันจะเป็นประโยชน์ต่อผู้ฝากเงิน ผู้ใช้บริการ และระบบเศรษฐกิจการเงินไทยโดยรวม โดยไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อเสถียรภาพของระบบการเงินของประเทศ
ในการพิจารณาดังกล่าว ธปท. ให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับกระบวนการพิจารณาที่โปร่งใสและมีการปฏิบัติต่อผู้ขออนุญาตอย่างเท่าเทียม รวมทั้งมีการพิจารณาและสอบทานข้อมูลต่าง ๆ อย่างรอบด้าน รัดกุม และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ตลอดจนมีกระบวนการตรวจสอบการมีส่วนได้เสียของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการพิจารณาคำขออนุญาตอย่างครบถ้วน
ผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจะต้องดำเนินการจัดตั้งบริษัทมหาชนจำกัด และปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังกำหนด รวมถึงผ่านการประเมินความพร้อมจาก ธปท. ก่อนยื่นขอรับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ Virtual Bank และต้องเปิดดำเนินการภายใน 1 ปีนับแต่วันที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังให้ความเห็นชอบ (วันที่ 19 มิถุนายน 2568)
นางรุ่ง มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธปท. กล่าวว่า ผู้ประกอบการทั้ง 3 รายถือว่าแต่ละรายมีความโดดเด่นแตกต่างกันไป เป็นการช่วยเต็มเติมการให้บริการในระบบสามารถครอบคลุมฐานลูกค้าได้หลากหลาย โดยเฉพาะ SME รายเล็ก และกลุ่มผู้มีรายได้น้อย หรือไม่ได้มีรายได้ประจำ ซึ่งผู้ประกอบการทุกรายมีความพร้อมและมุ่งมั่นในการนำเสนอนวัตกรรมทางการเงิน เชื่อว่าจะช่วยกระตุ้นให้ผู้เล่นในปัจจุบันได้ปรับตัว ในภาพรวม ถือว่าตอบโจทย์การปิดช่องว่างการให้บริการแก่กลุ่มที่เป็น Unserved และ Underserve เช่น SME รายย่อย เพื่อให้เข้าถึงผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดีขึ้น
“บางกลุ่มก็มีความโดดเด่นเรื่องการให้สินเชื่อแก่ SME รายเล็ก มีงวดการชำระเงินที่สอดคล้องกับรายได้ และการคิดดอกเบี้ย สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม หรือบางกลุ่ม ก็มีความโดดเด่นเรื่องการให้สินเชื่อรายย่อยแก่ผู้ประกอบอาชีพอิสระ แยกแยะได้ตามธุรกรรม ดอกเบี้ยผันแปรไปตามธุรกรรม หรือบางกลุ่ม ก็โดดเด่นในเรื่องของเงินฝาก เป็นต้น” นางรุ่ง กล่าว
พร้อมระบุว่า ในอนาคตมีโอกาสที่ ธปท.จะเปิดให้มีการยื่นขออนุญาต Virtual Bank รอบใหม่ และไม่ปิดกั้นโอกาสการเข้ามายื่นขอใบอนุญาตของผู้ประกอบการที่ไม่ผ่านการพิจารณาในรอบแรก อย่างไรก็ดี คงต้องขอติดตามผลงานของ 3 รายแรกก่อนอีกสักระยะหนึ่ง
“ก็มีโอกาสจะเปิดรอบถัดไป แต่คงต้องขอดูให้ทั้ง 3 รายนี้ มีความแข็งแรงก่อน ตอบโจทย์ประชาชนก่อน…ไม่ได้คิดว่าจะปิดกั้น (คนที่ไม่ผ่านการพิจารณาในรอบแรก)” รองผู้ว่าฯ ธปท. ระบุ
ส่วนที่มีความกังวลในการให้ใบอนุญาตดังกล่าว จะเป็นการเอื้อกลุ่มทุนใหญ่ที่เปิดดำเนินธุรกิจอยู่แล้วหลายประเภทในปัจจุบัน ให้มีอำนาจเหนือตลาด หรือครอบงำตลาดหรือไม่นั้น นางรุ่ง กล่าวว่า ไม่กังวลในจุดนี้ เพราะมีกรอบการกำกับดูแลที่ชัดเจนและรัดกุมอยู่แล้ว อีกทั้งในขั้นตอนการสัมภาษณ์ ผู้ประกอบการต่างให้คำมั่นว่าจะดำเนินการอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ ธปท.วางไว้
ทั้งนี้ ในระยะ 3-5 ปีแรกที่เริ่มเปิดดำเนินธุรกิจ Virtual Bank ธปท.จะติดตามอย่างใกล้ชิดเป็นรายบริษัท ว่าได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่วางไว้หรือไม่ รวมทั้งจะติดตามภาพรวมของทั้งระบบด้วยเช่นกัน ซึ่งจะดูควบคู่กันไปทั้ง 2 มิติ
สำหรับในอนาคต หากผู้ประกอบธุรกิจ Virtual Bank จะมีการเพิ่มเติมพันธมิตรทางธุรกิจ ก็สามารถทำได้ แต่จะต้องไม่ส่งผลให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของผู้ถือหุ้นจนมีนัยสำคัญ ซึ่งหากเป็นเช่นนั้น จะต้องมารายงานให้ ธปท.รับทราบและพิจารณาก่อน
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (19 มิ.ย. 68)