
ภาพของการเข้ามาทยอยซื้อหุ้นตัวเองในกระดานเทรดของบรรดาผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัทจดทะเบียนนับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ในช่วงที่ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง ถือเป็นเรื่องที่ดีมากในการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับผู้ลงทุน
ถือเป็นการชวนตีความให้มีจินตนาการใน “เชิงบวก” ว่า ราคาหุ้นดังกล่าวได้ลงมาถึงจุดที่ต่ำจนผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัทนั้นๆ กล้าเข้ามาซื้อ (เพิ่ม)
แน่นอนว่า การซื้อหุ้นในกระดานลักษณะนี้ คือ การควักเงินสดส่วนตัวออกมาซื้อ ถือเป็นการซื้อใจ และโชว์ให้เห็นว่ากิจการของหุ้นตัวนั้น ยังมีอนาคตที่ดีอยู่
แต่สำหรับการซื้อหุ้นจากกระดาน Big Lot ความหมายอาจจะไม่เหมือนการซื้อหุ้นในกระดานเทรดปกติทั่วไปที่เราเห็นกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้ซื้อเป็นเจ้าของ ยิ่งทำให้มุมมองการซื้อหุ้นครั้งนี้เปลี่ยนไป แตกต่างกับการซื้อหุ้นลักษณะข้างต้นที่ได้กล่าวไป
เนื่องจากสามารถถูกตีความไปได้ว่าเป็นการเข้ามาพยุงราคาไม่ให้ร่วงหนักหากมีแรงขายหุ้นก้อนใหญ่ออกมาโดยไม่มีรายการ Big Lot เข้ามารับ
โดยปกติทั่วไป การขายที่รายการ Big Lot อาจจะมีการตกลงที่จะขายราคา Discount ให้ที่ระดับ 9-10% ขึ้นไป แล้วแต่สภาพคล่อง หรือ Market Cap. ของหุ้นตัวนั้นๆ
แม้จะมีการรับซื้อที่ราคา Discount แต่ก็ถือว่าสูงกว่าราคาต้นทุนเดิมของเจ้าของที่ส่วนใหญ่อยู่ที่ราคาพาร์
เราจะไม่เห็นบ่อยนักที่เจ้าของจะยอมมารับหุ้น Big Lot ของตนเองที่ถูกขายออกไปให้นักลงทุน โดยเฉพาะกองทุนต่างประเทศ
ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหญ่พอสมควร และยิ่งหากรู้ว่ากองทุนต่างประเทศที่ขายคืนให้นั้น คือใคร!?
การเข้ามารับซื้อหุ้นจำนวนมหาศาลในกระดาน ถือเป็นเรื่องที่ไม่ปกติทั่วไป และไม่ใช่การส่งสัญญาณที่ดีนัก
เนื่องจาก เหตุผลที่ต้องรับซื้อ Big Lot มา จะด้วยความเกรงใจผู้ที่ต้องการขาย หรือ กังวลว่าผู้ขายจะเทหุ้นออกมาในกระดาน ก็สุดแท้ที่จะคิดเอาได้
แต่สิ่งที่เป็นไปได้ถัดไป หรือ ไม่ใช่การส่งสัญญาณที่ดี นั่นคือ มันจะเป็นจุดเริ่มต้นที่อาจจะทำให้กองทุนที่ 2,3,4,5… อื่นๆ ที่ถือหุ้นอยู่ในมือ ต้องการเงินสด หรือ อยากขายหุ้น จะรีบติดต่อมา เพราะเห็นว่ามีการรับซื้อคืน และมีความพร้อมที่จะรับซื้อ
นี่คือสิ่งที่ ผู้บริหาร หรือเจ้าของบริษัทจดทะเบียน พึงระมัดระวังให้ดี เพราะท่านไม่มีหน้าที่จะต้องมารับซื้อหุ้นคืนจาก Investors
เนื่องจาก ในแง่ของเกมหุ้น สมการของการเป็นเจ้ามือที่แท้จริงที่ Investors ทุกคนรู้จัก คือ ผลประกอบการ + กระแสเงินสด = เจ้ามือตัวจริง (ที่มีความยั่งยืน) หาใช่ เจ้าของหุ้น หรือ เงินสดที่หน้าตักที่พร้อมจะรับหุ้นไม่อั้น อย่างที่นักลงทุนรุ่นเก่าเขาคิดกัน
สิ่งที่เจ้าของกิจการต้องแบกไว้ คือ ผลประกอบการ และอนาคตของบริษัท
เพราะความเชื่อมั่นที่จะทำให้กับผู้ลงทุนเห็นว่าหุ้นดี ไม่ใช่การซื้อโชว์ แต่มันคือการสร้างการเติบโตให้กับกิจการมากกว่า เพราะข้อมูลดีๆเหล่านี้จะไหลไปสู่ผู้ลงทุน
สุดท้าย “มหาชน” จะเป็นผู้ตัดสินใจเองว่าหุ้นตัวไหนดีที่สุด
ธิติ ภัทรยลรดี
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 68)