จีนไม่พอใจถูก G7 กล่าวหาบิดเบือนกลไกตลาด ชี้ผู้ร้ายตัวจริงคือสหรัฐฯ

จีนออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (17 มิ.ย.) ตอบโต้กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ หรือ G7 หลังถูกกล่าวหาว่าดำเนินนโยบายบิดเบือนตลาด โดยระบุว่าข้อกล่าวหาดังกล่าวไม่เป็นความจริง พร้อมชี้ว่าฝ่ายที่สร้างความเสียหายต่อการค้าที่แท้จริงคือสหรัฐฯ

สถานเอกอัครราชทูตจีนประจำแคนาดาออกแถลงการณ์ตอบโต้เนื้อหาสรุปของการประชุมสุดยอดกลุ่ม G7 ซึ่งแถลงโดยมาร์ก คาร์นีย์ นายกรัฐมนตรีแคนาดา ในฐานะประธานการประชุม โดยระบุว่าเนื้อหาสรุปของกลุ่ม G7 เป็นการใส่ร้ายป้ายสีจีนและแทรกแซงกิจการภายใน

แถลงการณ์ของ G7 เรียกร้องให้จีนควรหยุดพฤติกรรมบิดเบือนตลาดและปัญหากำลังการผลิตส่วนเกิน ขณะเดียวกันกลุ่ม G7 ได้เปิดเผยแผนปฏิบัติการเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจกระทบความมั่นคงของห่วงโซ่อุปทานแร่ธาตุที่สำคัญ (critical minerals) ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าเกิดจากการพึ่งพาจีนมากเกินไป

อย่างไรก็ตาม ทางการจีนโต้แย้งว่า สิ่งที่ทำลายระบบการค้าระหว่างประเทศอย่างแท้จริงคือมาตรการเก็บภาษีแบบไร้เหตุผล มาตรการกีดกันทางการค้าฝ่ายเดียว และการทำให้ประเด็นเศรษฐกิจและการค้ากลายเป็นเครื่องมือทางการเมือง

นอกจากนี้ จีนยังเรียกร้องให้สมาชิกกลุ่ม G7 ซึ่งได้แก่ สหรัฐฯ แคนาดา สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี และญี่ปุ่น หยุดแทรกแซงกิจการภายในของประเทศอื่น หยุดขัดขวางการพัฒนา และหยุดบิดเบือนประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจีน และหันมาส่งเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในเวทีโลกมากขึ้น

สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า จีนและสหรัฐฯ ยังคงเผชิญข้อพิพาททางการค้าต่อเนื่อง โดยต่างฝ่ายต่างตอบโต้กันด้วยมาตรการภาษีศุลกากร และล่าสุดความตึงเครียดทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น จากการที่จีนถูกกล่าวหาว่าล่าช้าในการดำเนินการผ่อนคลายข้อจำกัดการส่งออกแร่หายาก ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญในสินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง

ทั้งนี้ จีนเป็นผู้ผลิตแร่หายากรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีสัดส่วนประมาณ 70% ของปริมาณแร่หายากทั้งหมดที่ใช้ในการผลิตสมาร์ตโฟน คอมพิวเตอร์ และยานยนต์

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 68)