In Focus: เจาะลึก “ฟอร์โด” ป้อมปราการนิวเคลียร์ใต้พิภพอิหร่าน จุดชี้ชะตาสันติภาพโลก

โครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านกำลังเป็นประเด็นระอุและจุดเปราะบางของเสถียรภาพโลก ท่ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาค ข้อตกลงระหว่างประเทศ และความหวาดระแวงที่ฝังลึก ทั้งหมดนี้ถูกหล่อเลี้ยงด้วยความมุ่งมั่นของเตหะรานที่ประกาศกร้าวถึงสิทธิในการพัฒนานิวเคลียร์ พร้อมกับยืนยันว่าโครงการนิวเคลียร์ของตนเป็นโครงการเพื่อสันติ และต้องปกป้องจนถึงที่สุด

ลึกเข้าไปในหุบเขาใกล้เมืองกอม (Qom) มีสถานที่หนึ่งซุกซ่อนอยู่ นั่นคือโรงงานเสริมสมรรถนะเชื้อเพลิงฟอร์โด (Fordow Fuel Enrichment Plant) สถานที่แห่งนี้คือหัวใจของความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ถูกสร้างขึ้นอย่างแข็งแกร่งและซับซ้อน จนกลายเป็น “ร่องรอยแห่งความน่าสงสัย” พร้อมจุดชนวนให้เกิดการตั้งคำถามว่า คำอ้าง “เพื่อสันติ” นั้น เชื่อได้จริงหรือ

สัปดาห์นี้ In Focus ขอพาทุกท่านดำดิ่งสู่โรงงานนิวเคลียร์ฟอร์โดของอิหร่าน สถานที่ลึกลับซุกซ่อนในภูเขา และกำลังเป็นจุดรวมความวิตกของประชาคมโลก

 

จากความลับสุดยอดสู่การเปิดโปง

การดำรงอยู่ของโรงงานฟอร์โดเคยเป็นความลับสุดยอด จนกระทั่งปี 2552 เมื่อผู้นำสหรัฐอเมริกา ฝรั่งเศส และสหราชอาณาจักร ร่วมกันเปิดโปงต่อสายตาชาวโลก ฟอร์โดจึงไม่ใช่ความลับอีกต่อไป

การก่อสร้างโรงงานฟอร์โดดำเนินมาหลายปีแล้ว โดยภาพถ่ายดาวเทียมสามารถสืบย้อนไปได้ถึงปี 2545 อิหร่านยืนยันว่าสร้างขึ้นเพื่อสันติและฝังลึกใต้ดินเพื่อเป็น “มาตรการป้องกันตนเอง” จากภัยคุกคามทางทหาร

แต่ในปี 2561 หน่วยข่าวกรองอิสราเอลได้เปิดเผยข้อมูลจากคลังเอกสารนิวเคลียร์ (Nuclear Archive) ที่ยึดมาได้จากใจกลางกรุงเตหะราน หลักฐานเหล่านี้ชี้ให้เห็นภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิมว่า ฟอร์โดไม่ได้เป็นเพียงโครงการลับธรรมดา แต่คือฟันเฟืองสำคัญของแผนการใหญ่ที่เรียกว่า “แผนอาหมัด” (Amad Plan)

ตามเอกสารที่พบ แผนอาหมัดคือพิมพ์เขียวของอิหร่านในช่วงต้นทศวรรษ 2000 (ปีพ.ศ.2543-2546) โดยมีเป้าหมายอันทะเยอทะยานถึงขั้น “ผลิตอาวุธนิวเคลียร์ที่ติดตั้งบนหัวรบขีปนาวุธให้ได้ 5 ลูก”

โรงงานฟอร์โด ซึ่งในขณะนั้นใช้โค้ดเนมว่า “โครงการอัลเฆาะดีร” (Al Ghadir Project) คือหัวใจหลักของแผนการนี้ ถูกออกแบบมาเพื่อผลิตยูเรเนียมเกรดอาวุธ (Weapon-Grade Uranium) ที่มีความบริสุทธิ์สูงกว่า 90% ในปริมาณที่เพียงพอต่อการสร้างระเบิดนิวเคลียร์อย่างน้อย 1-2 ลูกต่อปี

หลักฐานสำคัญที่สุดที่มัดตัวอิหร่าน คือ เอกสารสั่งการให้ถ่ายโอนความรับผิดชอบโครงการนี้จากองค์การพลังงานปรมาณูแห่งอิหร่าน (AEOI) ซึ่งเป็นหน่วยงานพลเรือน ไปยังกระทรวงกลาโหมโดยตรง นี่คือเครื่องยืนยันที่ชัดเจนที่สุดว่า เป้าหมายของฟอร์โดตั้งแต่แรกเริ่มนั้น หาใช่ “เพื่อสันติ” อย่างที่อิหร่านกล่าวอ้างไม่

 

ป้อมปราการใต้พิภพที่แทบทำลายไม่ได้

หนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ฟอร์โดน่าหวาดหวั่นที่สุด คือ โครงสร้างที่ฝังลึกและแข็งแกร่งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน ด้วยความลึกที่คาดว่าอยู่ใต้ดิน 80-110 เมตร (เทียบเท่าการฝังตึก 30 ชั้นลงใต้ดิน) ทำให้มันถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการโจมตีทางอากาศด้วยระเบิดธรรมดาทั่วไป

ด้วยเหตุนี้ ผู้เชี่ยวชาญและเจ้าหน้าที่ส่วนใหญ่จึงเชื่อว่า มีเพียงอาวุธเดียวที่อาจทะลวงไปถึงได้ นั่นคือระเบิด GBU-57 Massive Ordnance Penetrator (MOP) หรือที่รู้จักในชื่อ “บังเกอร์บัสเตอร์” (Bunker Buster) หรือระเบิดทำลายบังเกอร์

GBU-57 Massive Ordnance Penetrator ผลิตโดยบริษัทโบอิ้ง เป็นระเบิดที่ไม่ใช่อาวุธนิวเคลียร์ที่ทรงพลังที่สุดในคลังอาวุธของสหรัฐฯ สำหรับทำลายเป้าหมายใต้ดิน GBU-57 ถูกออกแบบมาสำหรับการโจมตีบังเกอร์ที่มีการป้องกันหนาแน่น เครือข่ายอุโมงค์ และโรงงานนิวเคลียร์ที่ระเบิดทั่วไปไม่สามารถทำลายได้ โดยมีคุณสมบัติสำคัญดังนี้:

น้ำหนัก – มากกว่า 13,600 กิโลกรัม (30,000 ปอนด์)

ความยาว – 6.2 เมตร

วัตถุระเบิด – บรรจุวัตถุระเบิดแรงสูงประมาณ 2,500 กิโลกรัม

ความสามารถในการทะลุทะลวง – สามารถเจาะผ่านคอนกรีตเสริมเหล็กหรือชั้นหินได้ลึกถึง 60 เมตร

เครื่องบินที่ใช้ในการทิ้งระเบิด – เครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 Spirit ของกองทัพอากาศสหรัฐฯ

อย่างไรก็ดี มีเพียงสหรัฐฯ เท่านั้นที่ครอบครอง GBU-57 ข้อจำกัดนี้แม้แต่เยคีเอล ไลเตอร์ เอกอัครราชทูตอิสราเอลประจำสหรัฐฯ ยังต้องยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่า “ประเทศเดียวในโลกที่มีระเบิดชนิดนั้นคือสหรัฐอเมริกา”

แต่ความท้าทายในการโจมตีไม่ได้จบเพียงแค่นั้น เพราะแม้จะมี “บังเกอร์บัสเตอร์” ที่สามารถเจาะคอนกรีตและพื้นดินได้ลึกถึง 60 เมตร ก็ยังอาจต้องโจมตีซ้ำหลายครั้งอย่างแม่นยำเพื่อปิดฉากสถานที่แห่งนี้ อันเป็นภารกิจที่เกินกำลังของอิสราเอลซึ่งไม่มีทั้งระเบิด GBU-57 และเครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหน B-2 ที่จำเป็นสำหรับปฏิบัติการเช่นนี้

 

ใจกลางความวิตก: ศักยภาพในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม

ความสำคัญของฟอร์โดไม่ได้อยู่ที่การป้องกันตัว หากแต่อยู่ที่ศักยภาพในการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม ภายในฟอร์โดเต็มไปด้วยเครื่องหมุนเหวี่ยง (Centrifuge) นับพันเครื่อง รวมถึงรุ่นทันสมัยที่สามารถผลิตยูเรเนียมความบริสุทธิ์สูงได้

ภายใต้ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2558 ที่เรียกว่า “แผนปฏิบัติการเบ็ดเสร็จร่วม” (Joint Comprehensive Plan of Action – JCPOA) นั้น การเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่โรงงานฟอร์โดถูกจำกัดอย่างเข้มงวด แต่หลังจากสหรัฐฯ ถอนตัวจากข้อตกลงในปี 2561 อิหร่านก็ได้กลับมาเดินเครื่องและยกระดับกิจกรรมที่นี่อีกครั้ง

ตัวเลขสำคัญที่สะท้อนสถานการณ์ปัจจุบันมาจากรายงานของทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) ที่ระบุว่า อิหร่านดำเนินการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมที่ฟอร์โดจนมีความบริสุทธิ์ถึง 60% นี่คือระดับที่น่าหวาดหวั่นอย่างยิ่ง เพราะในทางเทคนิคแล้ว การก้าวกระโดดจาก 60% ไปสู่ 90% อันเป็นเกรดสำหรับสร้างอาวุธนิวเคลียร์นั้น ใช้เวลาสั้นกว่าที่หลายคนคาดคิด

สถานการณ์ยิ่งทวีความน่าสงสัยขึ้นไปอีก เมื่อในช่วงต้นปี 2566 ผู้ตรวจสอบของ IAEA พบอนุภาคยูเรเนียมที่เสริมสมรรถนะสูงถึง 83.7% ในโรงงานแห่งนี้ แม้อิหร่านจะออกมาอ้างภายหลังว่าเป็นอุบัติเหตุโดยไม่ได้ตั้งใจก็ตาม

 

ความตึงเครียดที่รอวันระเบิด

ท่ามกลางความขัดแย้งในภูมิภาคที่ทวีความรุนแรง มีรายงานการโจมตีทางอากาศของอิสราเอลในบริเวณใกล้เคียงกับโรงงานฟอร์โดอยู่เป็นระยะ แม้ทาง IAEA จะยืนยันว่าตัวโรงงานยังไม่ได้รับความเสียหายโดยตรง แต่เหตุการณ์เหล่านี้ก็เปรียบเสมือนการส่งสัญญาณเตือนที่ดังขึ้นเรื่อย ๆ

ขณะเดียวกัน ประชาคมโลกยังคงแตกออกเป็นสองเสียงว่าจะรับมือกับความท้าทายจากฟอร์โดอย่างไร

ฝ่ายหนึ่ง นำโดยสหประชาชาติและสหภาพยุโรป ยังคงผลักดันให้มีการใช้ความพยายามทางการทูตและหวนคืนสู่ข้อตกลงนิวเคลียร์

อีกฝ่าย ซึ่งมีท่าทีแข็งกร้าวกว่า นำโดยรัฐบาลอิสราเอลและกลุ่มการเมืองสายเหยี่ยวในสหรัฐฯ กลับเชื่อว่าต้องใช้วิธีทางทหาร เพื่อเป็นหลักประกันในการขัดขวางไม่ให้อิหร่านพัฒนานิวเคลียร์ได้สำเร็จ

ในโลกปัจจุบัน แม้เสถียรภาพโลกจะดูเหมือนจัดการได้ด้วยการทูต แต่การดำรงอยู่ของสถานที่อย่างฟอร์โดก็เป็นเครื่องเตือนใจว่า สันติภาพนั้นเปราะบาง และอนาคตของสถานที่แห่งนี้ยังคงเป็นความท้าทายด้านความมั่นคงครั้งใหญ่ที่โลกทั้งใบต้องจับตามองอย่างไม่วางตา

 

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (18 มิ.ย. 68)