
นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า การส่งออกของไทยในเดือนพ.ค.68 มีมูลค่า 31,044 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวได้ 18.4% การส่งออกของไทยขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 11 โดยอัตราการขยายตัวสูงสุดในรอบ 38 เดือน นับตั้งแต่มีนาคม 2565 และมูลค่าการส่งออกรายเดือนที่ระดับ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ ถือว่าสูงสุดในประวัติศาสตร์
ส่งผลให้ช่วง 5 เดือนแรก (ม.ค.-พ.ค.) การส่งออกไทยมีมูลค่ารวม 138,202 ล้านดอลลาร์ ขยายตัวถึง 14.9% ซึ่งทำให้มั่นใจว่าการส่งออกปีนี้จะไม่ติดลบอย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์ไว้ โดยมองว่ายังมีโอกาสจะเติบโตได้ในระดับ 2 หลัก
“อยากเห็นที่ 10% ขึ้นไป เพราะ 5 เดือนแรกก็เกือบ 15% ทำได้ขนาดนี้ เป็นที่น่าพอใจ เกินกว่าที่คาดหมายไปเยอะมาก” นายพิชัย กล่าว
พร้อมเชื่อว่า ภาคการส่งออก จะยังเป็นตัวหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของไทย
ส่วนการนำเข้าในเดือนพ.ค.68 มีมูลค่า 29,928 ล้านดอลลาร์ ขยายตัว 18% ส่งผลให้ 5 เดือนแรก การนำเข้ามีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 139,325 ล้านดอลลาร์ โดยในเดือนพ.ค. ไทยเกินดุลการค้า 1,116 ล้านดอลลาร์ แต่เมื่อรวม 5 เดือนแรก ไทยขาดดุลการค้า 1,123 ล้านดอลลาร์
รมว.พาณิชย์ ยังกล่าวด้วยว่า ขณะที่ประเทศไทยได้เริ่มเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ เนื่องจากยังอยู่ในกระบวนการ โดยเชื่อว่าสุดท้ายแล้วผลเจรจาจะออกมาในทิศทางที่ดี ทำให้การส่งออกไม่ประสบปัญหา และเศรษฐกิจไทยไม่แย่อย่างที่หลายฝ่ายวิเคราะห์
พร้อมกันนี้ รมว.พาณิชย์ ยังฝากไปถึงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ช่วยดูแลเงินบาทให้อ่อนค่าลงบ้าง เพราะปัจจุบันเงินบาทแข็งค่าสวนทางกับสกุลเงินอื่น ๆ ทำให้สินค้าไทยมีปัญหาการแข่งขันด้านราคา โดยต้องการให้ ธปท. เร่งดูแลเงินเฟ้อที่ติดลบ และเงินบาทที่แข็งค่า เพราะเงินเฟ้อติดลบต่อเนื่องมา 2 เดือนแล้ว ถ้าแนวโน้มยังเป็นแบบนี้ต่อ สัญญาณจะไม่ดี จึงอยากให้ ธปท.ช่วยดูแลด้วย
“ขอให้ผู้ว่าฯ ธปท. ไปดูงานของท่านก่อนจะมาวิจารณ์คนอื่น ทั้งเงินเฟ้อที่ติดลบ บาทที่แข็งค่า ขอให้มองตัวเองก่อน ของเรากระทรวงพาณิชย์การส่งออกทำได้ดี ยังไม่ไปวิจารณ์คนอื่นเลย” รมว.พาณิชย์ ระบุ
นายพิชัย กล่าวต่อว่า การที่เงินบาทแข็งค่า อาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของสินค้าเกษตรไทย โดยเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศคู่แข่ง เช่น อินเดีย ที่ค่าเงินอ่อนลงจนสามารถตั้งราคาสินค้าได้เปรียบในการแข่งขัน พร้อมเรียกร้องให้ธนาคารแห่งประเทศไทย พิจารณาทิศทางค่าเงินอย่างรอบคอบ เพื่อสนับสนุนภาคการส่งออก
“กระทรวงพาณิชย์วิ่งขายของอย่างเดียวคงไม่พอ ถ้าค่าเงินยังแข็งแบบนี้ ผู้ส่งออกโดยเฉพาะเกษตรกร จะได้รับผลกระทบหนัก เราอยากเห็นค่าเงินอ่อนลงบ้าง เพื่อให้เศรษฐกิจไทยฟื้นตัวได้รอบด้าน ทั้งการส่งออก การลงทุน และรายได้ของประชาชน” รมว.พาณิชย์ ระบุ
ส่งออกรายกลุ่มสินค้า
ด้านนายพูนพงษ์ นัยนาภากรณ์ ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า (สนค.) เปิดเผยว่า การส่งออกในเดือนพ.ค.68 เมื่อแยกเป็นรายกลุ่มสินค้า จะพบว่ามีการขยายตัวได้ดีในทุกกลุ่มสินค้า ดังนี้
– การส่งออกกลุ่มสินค้าเกษตร ขยายตัว 6.8% กลับมาขยายตัวครั้งแรกในรอบ 5 เดือน โดยสินค้าเกษตรที่ขยายตัวได้ดี เช่น ผลไม้สดแช่เย็นแช่แข็ง, ไก่สด แช่เย็น แช่แข็ง และแปรรูป เป็นต้น
– การส่งออกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรมเกษตร ขยายตัว 10.1% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 2 โดยสินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ ไขมัน และน้ำมันจากพืชและสัตว์, อาหารทะเลกระป๋องและแปรรูป, ผลิตภัณฑ์จากมันสำปะหลัง, ผลไม้กระป๋องและแปรรูป เป็นต้น
– การส่งออกกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม ขยายตัว 22.9% ขยายตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 14 โดยสินค้าที่ยังขยายตัวดี ได้แก่ เครื่องคอมพิวเตอร์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ, ผลิตภัณฑ์ยาง, แผงวงจรไฟฟ้า, อัญมณี และเครื่องประดับ เป็นต้น
10 อันดับ ตลาดส่งออก
ขณะที่ตลาดส่งออกที่ขยายตัวสูงสุด 10 อันดับแรก ในเดือนพ.ค. เป็นดังนี้ อันดับ 1 ฮ่องกง 45.2% อันดับ 2 แคนาดา 40.2% อันดับ 3 สหรัฐอเมริกา 35.1% อันดับ 4 จีน 28% อันดับ 5 ตะวันออกกลาง 22.8% อันดับ 6 เอเชียใต้ 22.3% อันดับ 7 แอฟริกา 21.4% อันดับ 8 CLMV 20.8% อันดับ 9 สหราชอาณาจักร 20% และอันดับ 10 รัสเซีย และ CIS 18%
ผู้อำนวยการ สนค. กล่าวว่า สาเหตุที่มูลค่าการส่งออก และอัตราการขยายตัวของการส่งออกในเดือนพ.ค.68 อยู่ในระดับที่สูงนั้น ส่วนหนึ่งยอมรับว่าเป็นผลจากการที่ประเทศผู้นำเข้า ต่างเร่งนำเข้าสินค้าก่อนที่จะมาตรการปรับขึ้นภาษีของสหรัฐฯ จะมีผลบังคับใช้ ขณะเดียวกัน ตลาดส่งออกอื่น ๆ ก็ยังขยายตัวได้ดีเช่นกัน
“เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าการส่งออกที่เร่งตัวขึ้นนี้ ไม่ได้เกี่ยวกับการเร่งนำเข้าในสหรัฐฯ แต่ขณะเดียวกัน ตลาดอื่น ๆ ก็ขยายตัวได้เช่นกัน ส่วนที่มีการพูดกันว่า หลังจากนี้ไปการส่งออกของไทยจะชะลอตัวลงนั้น ก็คงต้องรอดูว่าในเดือนมิ.ย.ตัวเลขจะออกมาอย่างไร เพราะข้อมูลจะบอกข้อเท็จจริงเอง” นายพูนพงษ์ กล่าว
ส่วนโอกาสที่การส่งออกของไทยทั้งปี 2568 จะขยายตัวได้ในระดับ 2 หลัก หรืออย่างน้อย 10% นั้น จะต้องทำให้การส่งออกในช่วง 7 เดือนที่เหลือของปีนี้ (มิ.ย.-ธ.ค.68) มีมูลค่าไม่ต่ำกว่าเดือนละ 27,483 ล้านดอลลาร์
ลุ้นผลเจรจาภาษีสหรัฐฯ
นายพูนพงษ์ กล่าวว่า สำหรับการส่งออกในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ ต้องติดตามผลการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ที่มีความคืบหน้า หลังจากที่นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ได้ร่วมหารือกับผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส โดยไทยได้จัดส่งข้อเสนอเชิงนโยบายที่มุ่งส่งเสริมความเป็นหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ภายใต้กรอบความร่วมมือที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน โดยมีผลตอบรับในเชิงบวกจากฝั่งสหรัฐฯ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญที่จะปูทางไปสู่การเจรจาเพื่อผ่อนคลายสถานการณ์ทางการค้า
พร้อมกันนี้ คณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้มีมติเห็นชอบกรอบเจรจาที่เน้นสร้างความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและสหรัฐฯ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
อย่างไรก็ดี กระทรวงพาณิชย์ยังคงเฝ้าติดตามปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบต่อการค้าไทย ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ความขัดแย้งในภูมิภาคตะวันออกกลาง และปัญหาการเบี่ยงเบนการค้า ซึ่งกระทรวงฯ ให้ความสำคัญสูงสุด และติดตามอย่างใกล้ชิดอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเป็นธรรมทางการค้าแก่ทุกฝ่าย

โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์