
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุถึงสถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา ได้คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีแล้ว โดยระบุว่า ความพยายามคลี่คลายสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดน โดยการปฏิบัติงานของทั้งระดับนโยบาย โดยรัฐบาล ฝ่ายความมั่นคง กองทัพ กระทรวงการต่างประเทศ และทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง มีพัฒนาการในทางที่ดีขึ้นเป็นลำดับ
“ดิฉันได้หารือกับรัฐบาลกัมพูชา มีข้อสรุปที่ส่งผลดีต่อสถานการณ์ โดยทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงจะร่วมกันปรับกำลังทหาร ณ จุดที่มีการกระทบกระทั่ง เพื่อลดบรรยากาศการเผชิญหน้า และจะพัฒนาความร่วมมือโดยใช้กลไก JBC ในวันที่ 14 มิถุนายนนี้ และจะมีการพูดคุยกันในทุกระดับ เพื่อนำพาความสัมพันธ์ของทั้ง 2 ประเทศเข้าสู่ภาวะปกติโดยเร็ว” นายกรัฐมนตรี กล่าว
พร้อมขอให้ประชาชน ติดตามสถานการณ์และข้อเท็จจริงจากรัฐบาล พร้อมทั้งเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานจนประสบผลสำเร็จต่อไป
“ขอให้พี่น้องประชาชนได้โปรดคลายความกังวล และมีความมั่นใจในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ว่า จะไม่มีเหตุกระทบกระทั่งที่รุนแรงเกิดขึ้นแน่นอน” น.ส.แพทองธาร ระบุ
- “บิ๊กอ้วน” ยัน JBC 14 มิ.ย. ถกเฉพาะประเด็นช่องบก ไม่คุยเรื่อง “ปราสาท”
ด้านนายภูมิธรรม เวชชัย รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เปิดเผยว่า สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา มีหลายปัจจัยที่ทำให้การเจรจาเกิดความสำเร็จ ส่วนตัวคิดว่าเป็นกระบวนการที่มีความพยายามพูดคุยกันทุกระดับ ตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รองนายกรัฐมนตรี รวมไปถึงระดับผู้บัญชาการสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก และระดับแม่ทัพ
โดยครั้งนี้ ประสบความสำเร็จในการยุติการเผชิญหน้า ซึ่งเป็นข้อแรกสุดเลยที่ฝ่ายไทยต้องการ เพื่อให้สถานการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายลง ซึ่งขณะนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่ยุติเรียบร้อยแล้ว
ทั้งนี้ นายภูมิธรรม เชื่อว่า สิ่งที่ทำให้สถานการณ์ความตึงเครียดระหว่างไทย-กัมพูชา คลี่คลายลงนั้น มาจากหลายมาตรการร่วมกัน แต่สิ่งที่สำคัญ คือ การประสานงานพูดคุยกันกับนายกรัฐมนตรีกัมพูชา และสมเด็จฯ ฮุน เซน คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้สถานการณ์คลี่คลายลง หลังจากท่าทีทั้งสองมีความเข้าใจมากขึ้น กระบวนการที่เกิดขึ้นจากทางกองทัพกัมพูชา จึงได้เกิดขึ้น และมาตรการที่ฝ่ายไทยดำเนินการ ก็อาจจะเป็นส่วนเสริมสำคัญ ที่ทำให้การพูดคุยเกิดข้อสรุปได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ ได้พูดคุยกันตั้งแต่วันศุกร์-เสาร์-อาทิตย์อย่างต่อเนื่อง สิ่งที่สำคัญ คือ ไทยขอลดการเผชิญหน้า และมีมาตรการที่เพิ่มขึ้น ซึ่งได้คุยกันตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชา และตนได้คุยกับ รมว.กลาโหมกัมพูชา และได้ข้อสรุปขั้นต้น โดยพยายามที่จะเคลียร์ แต่ก็ยังมีความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน จึงต้องมีการพูดคุยกันใหม่ ซึ่งหลังจากได้คุยกันในระดับสูงของกัมพูชาแล้ว ต่างก็ยินยอมที่จะหาทางออกร่วมกันในการปรับกำลังทหารของทั้งสองฝ่าย ให้กลับไปอยู่ในแนวพื้นที่ที่ได้ตกลงกันไว้ในช่วงสถานการณ์ปกติ เมื่อปี 2567
“มีการประสานงานกันอย่างต่อเนื่อง ได้ให้ทูตทหารของเราที่กัมพูชา เป็นตัวขับเคลื่อนประสานงาน สิ่งที่สำคัญที่สุด คือ ได้คุยกันทุกระดับ มีการพูดคุยกันต่อเนื่องจนถึงเมื่อวาน ตอน 11.00 น. ที่สรุปไปแล้วว่าสมเด็จฮุนเซน อยากหาข้อสรุปที่เป็นสันติด้วยกัน เพราะคิดว่าการเกิดสงครามไม่มีประโยชน์ ผมจึงได้เรียนไปว่า รมว.กลาโหมเป็นผู้รับผิดชอบ การสั่งให้ทหารรบกัน มันเร็วและง่าย แต่ความสูญเสียที่เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นทั้งสองฝ่าย ดังนั้น สิ่งที่สำคัญคือทำอย่างไรให้ยุติ โดยไม่ต้องมีการสูญเสีย นั่นคือทิศทางหลักที่เราทำ” นายภูมิธรรม กล่าว
ส่วนการตรึงกำลังของทหารกัมพูชาตามแนวชายแดน เชื่อว่าจะค่อยคลี่คลายลง ซึ่งขณะนี้ได้ลดจุดเผชิญหน้าลง และปรับลดกำลังลงกันแล้ว
“ส่วนอื่น ๆ ยังมีการตรึงกำลังจริง แต่ไม่ได้มีลักษณะที่จะปะทะกัน ที่มันตึงเครียดจริง ๆ อยู่แถวช่องบก กับแถวสามเหลี่ยมมรกต ต้นพระยาสัตบรรณ ซึ่งตรงนี้ คลี่คลายลงแล้ว” รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กล่าว
พร้อมระบุว่า ต่อจากนี้จะเป็นการประชุมคณะกรรมการชายแดนร่วมไทย-กัมพูชา (JBC) ในวันที่ 14 มิ.ย.นี้ ซึ่งตามวาระที่คุยกันตั้งแต่ต้นยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ส่วนกรณีของแนวเขตปราสาทต่าง ๆ นั้น ไทยยืนยันว่ายังไม่ต้องการให้หยิบยกมาคุยใน JBC
“ข้อเสนอส่วนใหญ่ของฝ่ายกัมพูชา คุยเชิงเทคนิค แต่เราก็อยากให้เคลียร์ตรงนี้ให้ชัดเจน ว่าเส้นแดนตรงนี้ มันจะประคองกันไปอย่างไร จนกว่าจะมีข้อตัดสินคิดหาประเด็นในการที่จะตัดสินใจ หรือเงื่อนไขอะไรในการที่จะตัดสินใจ ซึ่งขณะนี้ บรรยากาศก็ค่อย ๆ คลี่คลาย และดีขึ้น ส่วนกรณีของปราสาทต่าง ๆ เรายังยืนยันไม่อยากให้เอามาคุยกันตรงนี้ แต่ถ้าเขาหยิบยกขึ้นมาเราก็ยินดีรับฟัง ต้องดูว่าวันที่ 14 (มิ.ย.) จะคลี่คลายไปอย่างไร” รองนายกฯ และรมว.กลาโหม ระบุ
โดย สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (09 มิ.ย. 68)